พันธกิจบ้านธารพระพร ขอบคุณท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม หากมีข้อแนะนำหรือมีภาระใจต้องการมีส่วนร่วมสงเคราะห์และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการและผู้ยากไร้ ร่วมบำเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชน ทำกิจกรรม โครงการดี ๆสามารถติดต่อกับเราได้ที่เมนูเว็บฯ "ติดต่อเรา" ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

ทำให้ถูกต้องในแบบของพระคริสต์

รับใช้พระเจ้า
     
ในภาพอาจจะมี 4 คน, รวมถึง พันธกิจ บ้านธารพระพร, คนที่ยิ้ม, ผู้คนกำลังยืน และสถานที่กลางแจ้ง


       ทุกวันนี้มีงานรับใช้พระเจ้ามากมายหลากหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบก็มีแรงจูงใจที่ไม่เหมือนกัน และมีเหตุผลของงานรับใช้นั้นๆแตกต่างกัน ซึ่งไม่ว่าจะรับใช้แบบใด อย่างไรก็ขอให้พระคริสต์ถูกประกาศออกไป ตรงตามที่อาจารย์เปาโลเองก็เคยบอกเราเอาไว้ ผมและครอบครัวเองก็เริ่มต้นงานรับใช้ตามความสามารถของครอบครัว ไม่ใช่ตามความสามารถของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะเป็นครอบครัวที่มีคนป่วยและพิการอยู่ร่วมด้วย ก็ยิ่งรับใช้พระเจ้ายากลำบากกว่าครอบครัวที่ปกติแน่นอน
          พระเยซูคริสต์สอนให้เรารับใช้พระเจ้าด้วยมือที่สะอาดและด้วยใจที่บริสุทธิ์ เริ่มต้นกับพระเจ้าด้วยความเชื่อ ก็ควรจบชีวิตลงด้วยความเชื่อด้วยเช่นกัน ในงานรับใช้ก็ไม่ควรเป็นแบบป่าวประกาศ อวด หรือหาชื่อเสียงให้กับตนเองด้วยงานรับใช้นั้นๆ งานรับใช้ไม่ควรยืนอยู่บนความเชื่อและศัทธราของผู้คน เพราะพระเยซูสอนว่าเขาได้รับบำเหน็บไปแล้วจากการยอมรับและการชมเชยของผู้คน พระองค์ทรงให้เรารับใช้ให้เป็นที่ยอมรับของพระเจ้าเท่านั้น แม้ว่าจะไม่เป็นที่พอใจ และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนตามมา หรือ ไม่เห็นด้วย และได้รับการดูถูก ถูกเข่มเหงตามมาก็ตาม จนกระทั้งไม่มีใครคบหาสมาคมด้วยแล้วก็ตาม
    ที่ผ่านมาผมและครอบครัว มักจะขอความช่วยเหลือจากพี่น้องที่มีภาระใจ เพื่ออธิษฐานเผื่อ และรวบรวมข้าวของต่างๆมามอบให้ผู้พิการและผู้คนที่ยากไร้บนดอยสูง ผมเองก็รู้สึกมีอารมณ์ไม่ค่อยสุขสบายนักเพราะไปรบกวนคนอื่นให้อธิษฐานเผื่อและถวาย เวลานั้นได้แต่คิดว่าเราต้องยอมเป็นคนกลางเพื่อจะนำความช่วยเหลือมาถึงคนพิการเหล่านี้ เพราะคนพิการเหล่านี้เป็นคนพิการที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐและเอกชนจริงๆ ผมและครอบครัวยอมอับอาย ยอมให้คนดูถูกเหยียดหยาม ยอมให้คนวิพากษ์ และวิจารณ์ต่างๆนานาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเราเองก็คิดว่าทำถูกต้องแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับเกียรติสูงสุดผ่านทางชีวิตของเราแน่นอน
         วันนี้ ผมกำลังเปลี่ยนไปหรือเปล่านั้นก็ไม่รู้ รู้เพียงว่าผมเริ่มคิดอย่างรอบคอบมากขึ้น เพราะหลายปีที่ผ่านมานั้นสอนให้ผมคิดและรับใช้พระเจ้าอย่างมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ จึงมานั่งคิดว่าจะเลิกขอความช่วยเหลือจากพี่น้องในทุกรูปแบบ แต่จะกลับมารับใช้พระเจ้าตามที่ตนเองและครอบครัวมีก็พอ ใครอยากร่วมรับใช้พระเจ้าด้วยก็ต้องเตรียมมาเองด้วย เพราะแน่นอนว่าเมื่อพระเจ้าทรงใช้ พระองค์ก็ทรงจัดเตรียมให้อย่างเพียงพอ ขอเพียงแต่เช็คให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงใช้จริงๆ เริ่มต้นที่ความเชื่อก็ไม่ควรที่จะจบลงด้วยเนื้อหนัง
        เพราะคนพิการย่อมเข้าใจคนพิการด้วยกันเสมอ คนอื่นอาจอยากเป็นที่ยอมรับของผู้คนรอบข้าง แต่กับผมและครอบครัว เรียนรู้แล้วว่าให้พระเจ้ายอมรับได้ก็พอแล้ว เพราะสำหรับคน เราไม่สามารถทำให้เขายอมรับเราได้ทุกคน เราไม่ได้เริ่มต้นที่การยอมรับของคนรอบข้าง แต่เราเริ่มต้นที่การยอมรับของพระเจ้าก็ควรจบลงด้วยการยอมรับของพระเจ้าผู้เดียว ในปกติแล้วคนพิการเขาอยากหายควมพิการ นั่นคือสิ่งแรกที่เขาอยากได้จากเรา อยากได้มากกว่าข้าวของ และอุปกรณ์ต่างๆที่เรานำมาเสนอให้ฟรีๆ เพราะอะไร เพราะถ้าหายพิการแล้ว เขาก็สามารถดูแลช่วยเหลือตนเองได้ ไม่ต้องมาเป็นภาระของครอบครัวและคนรอบข้างด้วย และยังสามารถช่วยเหลือคนอื่นๆได้ด้วย แล้วเราคนไหนเล่าจะสามารถช่วยให้หายจากความพิการได้
       มนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะช่วยให้ผู้อื่นให้หายความพิการได้ นอกจากผู้ที่เป็นพระเจ้า พระผู้สร้าง ผู้ประทานชีวิตและลมหายใจ ผู้ที่จะสามารถให้ชีวิตและเอาชีวิตไปจากมนุษย์ได้เท่านั้น ในโลกใบนี้มีพระ มีเจ้า มากมายตามที่มนุษย์ได้กราบไหว้และเอ่ยถึงทุกยุคทุกสมัย คนพิการ คนป่วย ทุกยุคทุกสมัยก็มีท่าทีเหมือนกันหมด คือการแสวงหาผู้ที่จะรักษาตนได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม
        ผมและครอบครัว ใช้ข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆเป็นบรรไดของข่าวประเสริฐ เพื่อให้ข่าวประเสริฐนั้นก้าวเข้าไปรักษาคนพิการเหล่านั้นให้หายดี เพราะเราเองก็เป็นคนพิการ จึงเข้าใจความคิดของคนพิการ ถึงกระนั้นก็ไม่มีการบังคับให้เชื่อข่าวประเสริฐ การให้เป็นเหตุให้คนพิการได้เห็นพระเจ้าในชีวิตของเรา ยิ่งคนพิการกันเองนำมาให้ก็ยิ่งทำให้คนพิการสนใจข่าวประเสริฐมากขึ้น
       ผมเองก็อยากหายจากความพิการจากพระเจ้าผู้ทรงสามารถของเรา ทุกครั้งที่อ่านพระคัมภีร์ก็ได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ของเรา ที่ทรงรักษาคนเจ็บคนป่วย และคนพิกลพิการด้วย อีกทั้งคนที่ได้รับการรบกวนจากอำนาจผีร้ายต่างๆก็หายเป็นปกติด้วย ผมเองก็หนักใจมากในช่วงแรกที่จะพูดกับคนพิการกันเองว่า พระเยซูคริสต์ทรงสามารถรักษาความพิการของเราได้ทุกคน เพราะอะไรหรือ เพราะผมเองก็ยังไม่ได้รับการรักษา หากเขาถามว่าตัวท่านเองทำไมพระเจ้ายังไม่รักษาเล่า?   ท่านไม่หายเราจะหายได้อย่างไร? ผมเองก็ได้แต่บอกเขาว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผมยังเป็นอยู่เพื่อจะเข้าใจท่านผู้พิการทุกคนจนกว่าจะถึงเวลาของพระองค์ .....  แม้พูดอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะโน้วน้าวให้คนพิการเชื่อได้
      แน่นอนว่าคนพิการอย่างผมและคนพิการทุกคน ไม่ได้ต้องการทรัพย์สิ่งของ หรืออยากสนองกิเลส และตัณหาของตนเอง หรืออยากมีชื่อเสียง ฯลฯ มากไปกว่าการหายความพิการ....ทุกอย่างที่เราแจกให้เขาในวันนี้ อาจหมดได้วันหนึ่ง หมดอายุ พังไปตามกาลเวลา และคงต้องการเรื่อยจนกว่าจะจากไป คนพิการแค่ขอให้หายพิการได้ก็พอ ความต้องการของพวกเขาไม่เหมือนคนปกติ แต่ถ้าเขาหายเป็นปกติ ความต้องการของเขาอาจเพิ่มขึ้นมาเหมือนคนปกติก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ผมไม่ใช่พระเจ้า ผมแค่ผู้รับใช้พระเจ้า เพียงแต่กำลังทำตามพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ คือการออกไปประกาศและนำวิญญาณของผู้คนมากมายให้มาถึงความรอด จนสุดปลายแผ่นดินโลก
       วันนี้ ผมเองก็เริ่มคิดที่จะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้ดีที่สุด ผมจะไม่ทำอะไรเกินตัว เกินความเชื่อของตนเองอีกต่อไป ใช่ว่าที่ผ่านมาผมเองชอบทำอะไรเกินตัวเสมอ และพระเจ้าก็ทรงให้ผมเห็นการอัศจรรย์เสมอมา เวลานี้ใครจะว่าผมเริ่มหมดความเชื่อก็ไม่เป็นไร ผมแค่ไม่อยากป่าวประกาศงานรับใช้ไปให้ผู้คนทราบ ไม่อยากเป็นคนหน้าซื่อใจคดอีกต่อไป.....อาจมีคนแย้งว่าทำไมไม่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของคนพิการที่ไม่มีใครช่วยเหลือเขา ผมเองก็ช่างน้ำหนักดูอยู่ เพราะทำอย่างนี้มานานหลายปีแล้ว 
       ในปีต่อๆไป คงเหลือแค่ครอบครัวและทีมงานบางคน บางครอบครัวที่ยังอยากร่วมรับใช้พระเจ้าด้วย จะไม่ป่าวประกาศขอความช่วยเหลือจากผู้คนอีกต่อไปแล้ว และจะไม่โชว์ หรือให้ผู้คนได้เห็นงานรับใช้ มากไปกว่าที่จะให้พระเจ้าทรงได้เห็น ที่ผ่านมาต้องใช้งบสูง ทีมงานมาก แต่ไม่ได้งานเลย หมายถึงไปไม่ถึงคนพิการอย่างทั่วถึงจริงๆ หลังกลับมาจากงานรับใช้ที่เมืองไทย ผมก็กลับมาเสียดาย เสียใจ ที่ไม่ได้ไปเยี่ยมหาคนพิการ คนนั้น คนนี้ ..... จึงมีบทเรียนว่า เอาเถิด อย่างน้อยเราก็ทำอย่างเต็มที่แล้ว ที่ผ่านมาได้ก็เพราะพระเจ้าทำการอัศจรรย์ทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เพราะผมมีแรง กำลัง จึงสามารถทำได้อย่างทุกปีที่ผ่านมา
       ยังคงคิดเสมอว่าจะทำอย่างไรที่จะนำคนพิการให้มาถึงความรอด และการรักษาโรคความพิการของพวกเขาผ่านทางชีวิตของเรา ก่อนหน้านี้ก็พยายามแสวงหาพระเจ้านะ แต่พระคำของพระเจ้าก็บอกว่าไม่ใช่เพราะความพยายามของเรา และเพราะพระคุณ การทรงเลือก และการทรงเรียกต่างหาก....ความคิดในสมองก็ตีกันอุตหลุดเลยทีเดียว พระเจ้าทรงเป็นคำตอบแต่ผู้เดียว อยู่ที่พระองค์จะทรงพอพระทัยหรือไม่....แต่ก็ยังเชื่อในพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ที่ว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน....หรือที่ทรงให้เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติ่มสิ่งทั้งปวงให้.....
     เรามีหน้าที่ขอ หา และเคาะ อยู่ที่พระทัยของพระเจ้าแล้ว ที่จะตอบคำอธิษฐานของเรา อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงมีแผนการที่ดีในชีวิตของเราเสมอ....หากคนพิการที่เราประกาศด้วย เข้าใจอย่างเราก็ดีซินะ...เพราะการที่เขาไม่เห็นว่าเราเองผู้เชื่อ ผู้ประกาศข่าวดียังไม่หายเลย เขาคนพิการก็คงยังไม่มีความเชื่ออย่างแน่นอน   และความคิดของพวกเขาก็ยังคิดว่า พระเจ้า พระเยซูคริสต์ของเราก็เป็นแค่ศาสดาของศาสนาคริสต์เท่านั้น....ถามว่าผมจะไม่ประกาศข่าวประเสริฐใช่ไหม หากตัวผมเองไม่หายจากความพิการ ไม่เลย....แม้เคยมีความคิดว่าประกาศข่าวประเสริฐยากจัง....ความรอดจากบาปกับความพิการแห่งร่างกายนั้นเป็นคนละเรื่องกัน....เอ เราจะทำให้คนพิการเข้าใจอย่างเราได้อย่างไร ตราบใดที่เราเองก็ยังไม่หาทางอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ และไม่เสียสละชีวิตดั้นด้นไปหาเขา และบอกเขาทุกอย่างๆที่เราเข้าใจ จริงไหม......ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรครับผม.  



          

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น