พันธกิจบ้านธารพระพร ขอบคุณท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม หากมีข้อแนะนำหรือมีภาระใจต้องการมีส่วนร่วมสงเคราะห์และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการและผู้ยากไร้ ร่วมบำเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชน ทำกิจกรรม โครงการดี ๆสามารถติดต่อกับเราได้ที่เมนูเว็บฯ "ติดต่อเรา" ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

สิทธิประโยชน์ของคนพิการจากบัตรทอง

ใครจะช่วยให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ของคนพิการได้จริงๆ

ชี้แจงเรื่อง การช่วยเหลือผู้พิการที่ยากไร้บนดอยสูง

ช่วยผู้พิการที่ยากไร้บนดอยสูง

บัตรคนพิการใช้อย่างไรได้บ้าง ?

น้องอภินันท์ ( กล้ามเนื้ออ่อนแรง )

ช่วยต่อลมหายใจกันและกัน

ขอความช่วยเหลือเร่งด่วน !

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2562

พัฒนาพันธกิจเพื่อพิชิตความยากไร้ในชุมชนดอยสูง

พัฒนาพันธกิจเพื่อพิชิตความยากไร้ในชุมชนดอยสูง (ภาพเก่าเล่าความหลัง)


 

หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ณ บ้านหนองตอง

หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ณ บ้านหนองตอง

หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ณ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเฉลิมพระเกียรติ. บ้านน้ำบ่อสะเป่

หน่วยแพทย์เคลื่อนที่บ้านน้ำบ่อสะเป่

หน่วยแพทย์ร่วมกับป่าไม้บ้านห้วยน้ำโป่ง

หน่วยแพทย์ร่วมกับป่าไม้บ้านห้วยน้ำโป่ง นาปู่ป้อม


หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ร่วมกันสำนักงานเขตรักษาป่าไม้สันปันแดน

หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ร่วมกันสำนักงานเขตรักษาป่าไม้สันปันแดน


 

สุขใจได้ร่วมทำความดีสู่ชุมชน

สุขได้ร่วมหน่วยแพทย์ทำความดีสู่ชุมชน


หน่วยแพทย์เคลื่อนที่บ้านถ้ำลอด

หน่วยแพทย์เคลื่อนที่บ้านถ้ำลอด

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562

" ป้าหล่อและยายบัว 2018 "


" ป้าหล่อและยายบัว 2018 "


" แม่อาหมี่กับการดูแลลูกรับใช้พระเจ้า 2018 "


" แม่อาหมี่กับการดูแลลูกรับใช้พระเจ้า 2018 "


" ลีซูบ้านนาประจาต แม่ฮ่องสอน "

" ลีซูบ้านนาประจาต แม่ฮ่องสอน "


" งานเสริมรายได้ของอาจารย์ปรเมฆ พิทักษ์ไพศา 2018 - 2019 "

" งานเสริมรายได้ของอาจารย์ปรเมฆ พิทักษ์ไพศา 2018 -  2019 "


" การดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญา "

" การดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญา "

" ลักษณะการใช้สติปัญญาในทางที่ผิด "

" ลักษณะการใช้สติปัญญาในทางที่ผิด "

" มืดมิดก่อนฟ้าสาง "

" มืดมิดก่อนฟ้าสาง "

" จงเกรงกลัวพระเจ้า "

" จงเกรงกลัวพระเจ้า "

" หนีโบสถ์ "

" หนีโบสถ์ "

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

อนาคตหนูอยู่ไหน?

ใครคือผู้ให้อนาคตหนู

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังนั่ง และสถานที่กลางแจ้ง

   
       พระเจ้าทรงเป็นผู้มอบชีวิตให้กับน้องเอมี่ในวันนั้น วันนี้น้องเอมี่จึงมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ อนาคตของน้องเอมี่อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเฉกเช่นเดียวกับอนาคตของทุกคนในครอบครัวของน้องเอมี่ เพราะว่าเราทุกคนก็ได้รับมอบหมายให้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และราชกิจของพระองค์ที่มีอยู่ในเราทุกคนนั้นจำเป็นจะต้องสำเร็จลงตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ว่าเราจะเกิดมาเป็นคนชาติพันธุ์ใด ภาษาใดก็ตาม.....เราต้องรู้และเข้าใจว่า ผู้ที่เกิดจากพระเจ้านั้นก็จะมีชีิวตอยู่เพื่อพระเจ้าเท่านั้น
       ในโลกแห่งความเป็นจริง น้องเอมี่ผ่านความทุกข์ทรมานมามากมาย อุปสรรค์และขวากหนามตามทางที่ผ่านมา ล้มลุกคุกคลานพร้อมๆกับครอบครัวใหม่......ขอบคุณพระเจ้า ที่น้องเอมี่ได้เติบโตอยู่ในความรักของพระเจ้า เราพยายามช่วยเธอสุดกำลัง ให้เธอเข้าใจว่าพระเจ้าทรงรักและห่วงใยเธอ และเธอไม่ขาดแคลนสิ่งจำเป็นใดๆเลย .......
         จริงๆแล้วตัวเธอเองก็รู้ดีว่า เราครอบครัวต้องพึ่งพอาศัยกันและกันเสมอ และขาดกันไม่ได้เลย แต่สิ่งหนึ่งที่น้องเอมี่ต้องเรียนรู้คือ....ต้องเข้าใจว่าพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยเธอให้มีชีวิตอยู่ได้จนทุกวันนี้ และพระองค์ทรงมีแผนการพิเศษสำหรับเธอด้วย....เราพยายามสอนพระคำของพระเจ้าให้เธอเข้าใจว่า เธอไม่ได้เกิดมาเป็นภาระของใคร หรือเกิดมาผิดที่ หรือเกิดมาชดใช้กรรมเก่า ดังที่ศาสนาอื่นๆเขาสอนกัน....
         และวันนี้ เธอ น้องเอมี่ ได้มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ ความสุขกับครอบครัว โบสถ์ โรงเรียน และสังคมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เธอ....ผมและภรรยา เรามีความหวังอยากให้คนพิการได้โอกาสมีชีวิตที่ได้รับการอวยพระพรจากพระเจ้าเช่นน้องเอมี่.....เราจะทำงานกับคนพิการและคนยากไร้กันต่อไป เชื่อว่าพระเจ้ากำลังเตรียมชีวิตครอบครัวของเราทุกคน เพื่องานที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าจะทรงมอบหมายให้ได้ในวันข้างหน้า....ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าทรงจัดเตรียมและอวยพระพรเถิด.....









ปลายทางคือบ้านที่ถาวร

กลับบ้านอันถาวรของชีวิต

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ต้นไม้, ท้องฟ้า, พื้นหญ้า, ต้นพืช, สถานที่กลางแจ้ง และธรรมชาติ

       สิ่งที่ถูกทรงสร้างมาแล้วนั้น ย่อมเป็นไปตามกาลเวลา ไม่มีสักสิ่งเดียวที่จะไม่สลายไป แม้แต่มนุษย์เองก็ตาม เพราะทุกสิ่งคือสิ่งที่ถูกสร้าง ไมใช่พระผู้สร้างจึงจะไม่สามารถสลายหรือตายไปตามกาลเวลา ... เราต้องยอมรับว่าเราเองก็หนีไม่พ้นความอนิจจังในการทรงสร้างของพระเจ้า เมื่อถึงเวลาคราที่จะต้องจากไป ก็ไม่มีใครหนีรอดไปได้สักคน ไม่ว่าจะมีหรือจน จะพิการส่วนใดของร่างกายก็ตาม หรือใครจะตั้งตนเองเป็นพระเจ้า เป็นเทพเจ้า ก็ตามแต่....ล้วนหนีไม่พ้นความตายฝ่ายร่างกายสักคน....
       ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เรามีชีวิตอยู่อย่างไรให้มีความสุขได้ เราจะใช้ที่วิตที่เหลืออยู่ในโลกนี้ให้คุ้มค่าได้อย่างไร เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่นานนัก เราจะได้กลับบ้านที่ถาวรของเรา จะไปอย่างไรหากเราไม่รู้ว่าบ้านที่ถาวรของเราอยู่ที่ไหน....นี่คือเหตุผลที่เราทุกคนมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้ประกาศข่าวดีและบ้านอันถาวรให้กับมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า ทุกชาติ ทุกภาษา ฯลฯ นี่คือเหตุผลที่หลายคนไม่อาจยอมรับได้จากพระเจ้า หรือไม่รู้เลยว่ามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร
        นี่อาจเป็นสาเหตุให้หลายคนใช้ชีวิตอย่างบ้าครั่ง สุดเหวี่ยง มีตนเองเป็นที่ตั้ง ทำตามอำเภอใจทุกอย่าง หลงในอำนาจ ลาภยศสรรเสริญ กิเลส ราคะและตัณหาทุกอย่าง พึ่งอำนาจแห่งความมืด แลกชีวิตกับความร่ำรวยในโลกนี้กับซาตานและพญามาร สมุนของมัน......เข่นฆ่า ข่มขู่ เอารัดเอาเปรียบ รีดไถ หลอกลวง ใส่ร้าย ป้ายสี ฯลฯ นำมาซึ่งให้ตนเองเป็นใหญ่กว่าทุกคน เป็นที่ยอมรับ .......
          พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราสอนไว้ว่า ให้เราอย่าประมาท ใชีวิตที่เหลือในโลก ให้ลงทุนกับสิ่งที่เราคิดว่าคุ้มค่า มีค่ามากที่สุด แล้วคืออะไร? อะไรคือสิ่งที่เราคิดว่าคุ้มค่าที่จะลงทุนด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ในโลกใบนี้ ชีวิตตนเอง ครอบครัว คนที่เรารัก ฯลฯ หากยังไม่บังเกิดใหม่ในพระเจ้าจริงๆก็จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า อะไรคือสิ่งที่เราคุ้มค่าจะลงทุนกับชีวิตที่เหลือของเรา? พระเยซูคริสต์ทรงสอนไว้ว่า คนืั้เกิดจากโลกก็ปักใจแต่สิ่งที่เป็นเนื้อหนัง แต่คนที่เกิดจากพระเจ้าจะปักใจแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบนเท่านั้น....
            ขอให้เรามอบชีวิตให้กับพระเจ้า ยอมให้พระเจ้าครอบครองชีวิตทุกด้านทั้งหมด สารภาพบาปและกลับใจอย่าไปทำอีกเด็ดขาด เพราะการทำบาปจะดับพระวิญญาณของพระเจ้าที่อยู่ในชีวิตของเรา พระเจ้าจะทรงลงโทษเราเฉกเช่นผู้ไม่เชื่อแน่นอน เพราะหากเราเชื่อจริงๆ เราก็คงไม่ทำบาปแน่นอนเช่นกัน....การพูดได้กับการปฏิบัติได้นั้นคนละเรื่อง คนที่ไม่มอบชีวิตให้พระเจ้าก็จะไม่เห็นพระเจ้า ไม่ได้ยินเสียงของพระองค์ และจะไม่สามารถรู้น้ำพระทัยของพระเจ้าได้......วันนี้เราผู้เชื่อ ลูกของพระเจ้า เตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อมเสมอ ฝากชีวิตและทุกคนที่เรารักไว้ในพระเจ้า และดำเนินกับพระเจ้าเหมือนกับว่า เราจะมีชีวิตได้แค่วันนี้วันเดียว.....เพราะพรุ่งนี้เราจะได้กลับบ้านอันถาวรของเราแล้ว....

     ที่บ้านอันถาวรบนสวรรค์นั้น พระคัมภีร์วิวรณ์ได้บอกเราไว้ว่า พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดให้เรา ไม่มีความเจ็บป่วย ความพิการ ไม่สมประกอบ ไและม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป เราทุกคนจะได้สวมเสื้อสีขาวระยิบระยับไปด้วยสง่าราศีและการทรงสถิตของพระเจ้า เราทุกคนจะได้สวมมงกุฏแห่งชีวิต เราทุกคนจะได้ร่วมกันร้องเพลงบทใหม่สรรเสริญพระเจ้า และได้นั่งบนบังลังก์เพื่อพิพากษาพญามาร ซาตาน และสมุนของมันในบึงไฟนรก.....เราทุกคนจะอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ชั่วนิรันดร์ ( วิวรณ์ 22 )........





สู้ด้วยพระคริสต์

ยังต้องสู้อีกมาก
ในภาพอาจจะมี พันธกิจ บ้านธารพระพร

       ความพิการว่ายากลำบาก แต่มีความเจ็บป่วยแทรกซ้อนด้วยเสมอนี่ซิ....โครตทรมานทั้งกายและจิตใจ แต่ก็ยังคงมีจิตใจที่จำเริญขึ้นใหม่เสมอทุกๆวัน ความพิการทำให้เรามีความจำกัดมากมาย เหมือนมีอะไรมามัดแขนมัดขาเราเอาไว้ และทรมานเราด้วยความเจ็บป่วยต่างๆ การแสวงหาความตายจึงเป็นสิ่งที่คนพิการคิดถึงเป็นสิ่งแรกๆเสมอ สำหรับตัวผม....ความตายเป็นสิ่งที่ผมไม่กลัวแล้ว เพราะเป็นก็อยู่เพื่อรับใช้ ตายก็ได้กำไร ได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์เลย.....
            ผมไม่เคยห่วงเลยว่าภรรยาและลูกๆจะอยู่อย่างไรในวันที่ผมจากไป เพราะผมฝากไว้กับพระเจ้าแล้วครับผม ฉะนั้นวันนี้หรือวันไหนๆ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ จะพิการ จะเจ็บป่วยและทุกข์ทรมานยากเข็ญเพียงใด ก็ยังขวนไขว พยายาม รับใช้พระเจ้าให้จงได้ งานรับใช้ที่ว่า....ตามที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้สามารถตามความเชื่อ ไม่ใช่เปรียบเทียบกันและกัน และทำให้ชีวิตหมดความหวังในพระเจ้า ซึ่งมีแต่จะทำให้ชีวิตในความเชื่อนั้นอับปราง.....
             
              

ใครจะไปบอก

ยอมเสีย
      à¹ƒà¸™à¸ à¸²à¸žà¸­à¸²à¸ˆà¸ˆà¸°à¸¡à¸µ 3 คน, ผู้คนกำลังนั่ง, สถานที่กลางแจ้ง และธรรมชาติ

    เราทุกคนย่อมมีเหตุผลเป็นของตนที่จะอ้างนั่นนี่ ผมและครอบครัวก็มีเหตุผลของเราเองด้วย ไม่ใช่แค่ใครบางคน แต่เป็นทั้งครอบครัว ไม่อยากที่จะลงมาให้เห็นภาพงานรับใช้ หรือป่าวประกาศให้คนทราบว่าเรารับใช้พระเจ้าอย่างไร เพราะคนปกติยังรับใช้พระเจ้ายาก หรือยากเพราะมีเหตุผลต่างๆนานา และพยายามหลีกเลี่ยงทุกทาง แต่สำหรับครอบครัวผม พยายามหาช่องทางในการรับใช้พระเจ้าต่างหาก
      ยอมรับว่าที่ผ่านมายากลำบากเหลือเกิน และไม่เคยคิดว่าจะได้มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพราะทุกครั้งที่คิดจะรับใช้ เราก็ป่วยและเข้ารักษาที่โรงพยาบาลบ่อยๆ การทดสอบและการทดลองเข้ามาทำให้เราลำบากยากเข็ญในการรับใช้พระเจ้าเสมอ หลายคนที่เคยร่วมงานก็ต้องมีอันหนีหายตายจากทุกคน เพราะหากเริ่มต้นที่เงินและผลประโยชน์ก็ต้องเลิกคิดกับครอบครัวผม และพระเจ้าก็ทรงใช้ในความพิการและยากไร้ของครอบครัวผมอย่างที่เห็นและผ่านมา ไม่ได้เขียนมาให้ผู้อ่านได้ละอายใจ แต่อยากเป็นพยานเอาไว้ให้เข้าใจวิถีชีวิตแห่งการรับใช้ของครอบครัวผมว่า ไม่ใช่เรื่องความพยายาม แต่เพราะพระคุณและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ทรงทำผ่านในความอ่อนแอของครอบครัวผมจริงๆ
       เราขอทางด่านตำรวจ ขอความร่วมมือให้เรามีโอกาสนั่ง ยืน เดิน แจกใบปลิวข่าวประเสริฐควบคู่ไปกับการรณณรงค์เมาไม่ขับ ใส่หมวกกันน๊อค ฯลฯ เราประกาศข่าวประเสริฐกับตำรวจทหารในพื้นที่ เราจัดห้องเรียนภาษาอังกฤษพร้อมกับข่าวประเสริฐให้กับ นักเรียน ครู หมอ ตำรวจ ทหาร ฯลฯ ในพื้นที่ที่เรารับใช้พระเจ้าอยู่ เราสนับสนุนชมรมผู้รับใช้พระเจ้าทุกคนและทุกชาติพันธุ์ และพยายามหาแนวทางทำให้ข่าวประเสริฐไปถึงทุกคนจริงๆ
       ไม่ได้พูดว่าสำเร็วแล้ว แต่กำลังบากบั่นและมุ่งต่อไปจนกว่าชีพจะวางวายใต้กางเขนต่างหาก ไม่ได้ภาคภูมิใจในงานที่ผ่านมาเท่าๆกับการเชื่อฟังพระเจ้า อาจรับใช้พระเจ้าไม่ได้มากเท่ากับผู้รับใช้พระเจ้าที่มีร่างกายปกติ หรือเกิดผลมากเท่าคนอื่น แต่ก็ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างสัตย์ซื่อ เต็มที่   บนความเชื่อ ความหวังและความรักที่พระเจ้าทรงมอบให้.....




ทำให้ถูกต้องในแบบของพระคริสต์

รับใช้พระเจ้า
     
ในภาพอาจจะมี 4 คน, รวมถึง พันธกิจ บ้านธารพระพร, คนที่ยิ้ม, ผู้คนกำลังยืน และสถานที่กลางแจ้ง


       ทุกวันนี้มีงานรับใช้พระเจ้ามากมายหลากหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบก็มีแรงจูงใจที่ไม่เหมือนกัน และมีเหตุผลของงานรับใช้นั้นๆแตกต่างกัน ซึ่งไม่ว่าจะรับใช้แบบใด อย่างไรก็ขอให้พระคริสต์ถูกประกาศออกไป ตรงตามที่อาจารย์เปาโลเองก็เคยบอกเราเอาไว้ ผมและครอบครัวเองก็เริ่มต้นงานรับใช้ตามความสามารถของครอบครัว ไม่ใช่ตามความสามารถของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะเป็นครอบครัวที่มีคนป่วยและพิการอยู่ร่วมด้วย ก็ยิ่งรับใช้พระเจ้ายากลำบากกว่าครอบครัวที่ปกติแน่นอน
          พระเยซูคริสต์สอนให้เรารับใช้พระเจ้าด้วยมือที่สะอาดและด้วยใจที่บริสุทธิ์ เริ่มต้นกับพระเจ้าด้วยความเชื่อ ก็ควรจบชีวิตลงด้วยความเชื่อด้วยเช่นกัน ในงานรับใช้ก็ไม่ควรเป็นแบบป่าวประกาศ อวด หรือหาชื่อเสียงให้กับตนเองด้วยงานรับใช้นั้นๆ งานรับใช้ไม่ควรยืนอยู่บนความเชื่อและศัทธราของผู้คน เพราะพระเยซูสอนว่าเขาได้รับบำเหน็บไปแล้วจากการยอมรับและการชมเชยของผู้คน พระองค์ทรงให้เรารับใช้ให้เป็นที่ยอมรับของพระเจ้าเท่านั้น แม้ว่าจะไม่เป็นที่พอใจ และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนตามมา หรือ ไม่เห็นด้วย และได้รับการดูถูก ถูกเข่มเหงตามมาก็ตาม จนกระทั้งไม่มีใครคบหาสมาคมด้วยแล้วก็ตาม
    ที่ผ่านมาผมและครอบครัว มักจะขอความช่วยเหลือจากพี่น้องที่มีภาระใจ เพื่ออธิษฐานเผื่อ และรวบรวมข้าวของต่างๆมามอบให้ผู้พิการและผู้คนที่ยากไร้บนดอยสูง ผมเองก็รู้สึกมีอารมณ์ไม่ค่อยสุขสบายนักเพราะไปรบกวนคนอื่นให้อธิษฐานเผื่อและถวาย เวลานั้นได้แต่คิดว่าเราต้องยอมเป็นคนกลางเพื่อจะนำความช่วยเหลือมาถึงคนพิการเหล่านี้ เพราะคนพิการเหล่านี้เป็นคนพิการที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐและเอกชนจริงๆ ผมและครอบครัวยอมอับอาย ยอมให้คนดูถูกเหยียดหยาม ยอมให้คนวิพากษ์ และวิจารณ์ต่างๆนานาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเราเองก็คิดว่าทำถูกต้องแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับเกียรติสูงสุดผ่านทางชีวิตของเราแน่นอน
         วันนี้ ผมกำลังเปลี่ยนไปหรือเปล่านั้นก็ไม่รู้ รู้เพียงว่าผมเริ่มคิดอย่างรอบคอบมากขึ้น เพราะหลายปีที่ผ่านมานั้นสอนให้ผมคิดและรับใช้พระเจ้าอย่างมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ จึงมานั่งคิดว่าจะเลิกขอความช่วยเหลือจากพี่น้องในทุกรูปแบบ แต่จะกลับมารับใช้พระเจ้าตามที่ตนเองและครอบครัวมีก็พอ ใครอยากร่วมรับใช้พระเจ้าด้วยก็ต้องเตรียมมาเองด้วย เพราะแน่นอนว่าเมื่อพระเจ้าทรงใช้ พระองค์ก็ทรงจัดเตรียมให้อย่างเพียงพอ ขอเพียงแต่เช็คให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงใช้จริงๆ เริ่มต้นที่ความเชื่อก็ไม่ควรที่จะจบลงด้วยเนื้อหนัง
        เพราะคนพิการย่อมเข้าใจคนพิการด้วยกันเสมอ คนอื่นอาจอยากเป็นที่ยอมรับของผู้คนรอบข้าง แต่กับผมและครอบครัว เรียนรู้แล้วว่าให้พระเจ้ายอมรับได้ก็พอแล้ว เพราะสำหรับคน เราไม่สามารถทำให้เขายอมรับเราได้ทุกคน เราไม่ได้เริ่มต้นที่การยอมรับของคนรอบข้าง แต่เราเริ่มต้นที่การยอมรับของพระเจ้าก็ควรจบลงด้วยการยอมรับของพระเจ้าผู้เดียว ในปกติแล้วคนพิการเขาอยากหายควมพิการ นั่นคือสิ่งแรกที่เขาอยากได้จากเรา อยากได้มากกว่าข้าวของ และอุปกรณ์ต่างๆที่เรานำมาเสนอให้ฟรีๆ เพราะอะไร เพราะถ้าหายพิการแล้ว เขาก็สามารถดูแลช่วยเหลือตนเองได้ ไม่ต้องมาเป็นภาระของครอบครัวและคนรอบข้างด้วย และยังสามารถช่วยเหลือคนอื่นๆได้ด้วย แล้วเราคนไหนเล่าจะสามารถช่วยให้หายจากความพิการได้
       มนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะช่วยให้ผู้อื่นให้หายความพิการได้ นอกจากผู้ที่เป็นพระเจ้า พระผู้สร้าง ผู้ประทานชีวิตและลมหายใจ ผู้ที่จะสามารถให้ชีวิตและเอาชีวิตไปจากมนุษย์ได้เท่านั้น ในโลกใบนี้มีพระ มีเจ้า มากมายตามที่มนุษย์ได้กราบไหว้และเอ่ยถึงทุกยุคทุกสมัย คนพิการ คนป่วย ทุกยุคทุกสมัยก็มีท่าทีเหมือนกันหมด คือการแสวงหาผู้ที่จะรักษาตนได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม
        ผมและครอบครัว ใช้ข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆเป็นบรรไดของข่าวประเสริฐ เพื่อให้ข่าวประเสริฐนั้นก้าวเข้าไปรักษาคนพิการเหล่านั้นให้หายดี เพราะเราเองก็เป็นคนพิการ จึงเข้าใจความคิดของคนพิการ ถึงกระนั้นก็ไม่มีการบังคับให้เชื่อข่าวประเสริฐ การให้เป็นเหตุให้คนพิการได้เห็นพระเจ้าในชีวิตของเรา ยิ่งคนพิการกันเองนำมาให้ก็ยิ่งทำให้คนพิการสนใจข่าวประเสริฐมากขึ้น
       ผมเองก็อยากหายจากความพิการจากพระเจ้าผู้ทรงสามารถของเรา ทุกครั้งที่อ่านพระคัมภีร์ก็ได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ของเรา ที่ทรงรักษาคนเจ็บคนป่วย และคนพิกลพิการด้วย อีกทั้งคนที่ได้รับการรบกวนจากอำนาจผีร้ายต่างๆก็หายเป็นปกติด้วย ผมเองก็หนักใจมากในช่วงแรกที่จะพูดกับคนพิการกันเองว่า พระเยซูคริสต์ทรงสามารถรักษาความพิการของเราได้ทุกคน เพราะอะไรหรือ เพราะผมเองก็ยังไม่ได้รับการรักษา หากเขาถามว่าตัวท่านเองทำไมพระเจ้ายังไม่รักษาเล่า?   ท่านไม่หายเราจะหายได้อย่างไร? ผมเองก็ได้แต่บอกเขาว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผมยังเป็นอยู่เพื่อจะเข้าใจท่านผู้พิการทุกคนจนกว่าจะถึงเวลาของพระองค์ .....  แม้พูดอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะโน้วน้าวให้คนพิการเชื่อได้
      แน่นอนว่าคนพิการอย่างผมและคนพิการทุกคน ไม่ได้ต้องการทรัพย์สิ่งของ หรืออยากสนองกิเลส และตัณหาของตนเอง หรืออยากมีชื่อเสียง ฯลฯ มากไปกว่าการหายความพิการ....ทุกอย่างที่เราแจกให้เขาในวันนี้ อาจหมดได้วันหนึ่ง หมดอายุ พังไปตามกาลเวลา และคงต้องการเรื่อยจนกว่าจะจากไป คนพิการแค่ขอให้หายพิการได้ก็พอ ความต้องการของพวกเขาไม่เหมือนคนปกติ แต่ถ้าเขาหายเป็นปกติ ความต้องการของเขาอาจเพิ่มขึ้นมาเหมือนคนปกติก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ผมไม่ใช่พระเจ้า ผมแค่ผู้รับใช้พระเจ้า เพียงแต่กำลังทำตามพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ คือการออกไปประกาศและนำวิญญาณของผู้คนมากมายให้มาถึงความรอด จนสุดปลายแผ่นดินโลก
       วันนี้ ผมเองก็เริ่มคิดที่จะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้ดีที่สุด ผมจะไม่ทำอะไรเกินตัว เกินความเชื่อของตนเองอีกต่อไป ใช่ว่าที่ผ่านมาผมเองชอบทำอะไรเกินตัวเสมอ และพระเจ้าก็ทรงให้ผมเห็นการอัศจรรย์เสมอมา เวลานี้ใครจะว่าผมเริ่มหมดความเชื่อก็ไม่เป็นไร ผมแค่ไม่อยากป่าวประกาศงานรับใช้ไปให้ผู้คนทราบ ไม่อยากเป็นคนหน้าซื่อใจคดอีกต่อไป.....อาจมีคนแย้งว่าทำไมไม่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของคนพิการที่ไม่มีใครช่วยเหลือเขา ผมเองก็ช่างน้ำหนักดูอยู่ เพราะทำอย่างนี้มานานหลายปีแล้ว 
       ในปีต่อๆไป คงเหลือแค่ครอบครัวและทีมงานบางคน บางครอบครัวที่ยังอยากร่วมรับใช้พระเจ้าด้วย จะไม่ป่าวประกาศขอความช่วยเหลือจากผู้คนอีกต่อไปแล้ว และจะไม่โชว์ หรือให้ผู้คนได้เห็นงานรับใช้ มากไปกว่าที่จะให้พระเจ้าทรงได้เห็น ที่ผ่านมาต้องใช้งบสูง ทีมงานมาก แต่ไม่ได้งานเลย หมายถึงไปไม่ถึงคนพิการอย่างทั่วถึงจริงๆ หลังกลับมาจากงานรับใช้ที่เมืองไทย ผมก็กลับมาเสียดาย เสียใจ ที่ไม่ได้ไปเยี่ยมหาคนพิการ คนนั้น คนนี้ ..... จึงมีบทเรียนว่า เอาเถิด อย่างน้อยเราก็ทำอย่างเต็มที่แล้ว ที่ผ่านมาได้ก็เพราะพระเจ้าทำการอัศจรรย์ทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เพราะผมมีแรง กำลัง จึงสามารถทำได้อย่างทุกปีที่ผ่านมา
       ยังคงคิดเสมอว่าจะทำอย่างไรที่จะนำคนพิการให้มาถึงความรอด และการรักษาโรคความพิการของพวกเขาผ่านทางชีวิตของเรา ก่อนหน้านี้ก็พยายามแสวงหาพระเจ้านะ แต่พระคำของพระเจ้าก็บอกว่าไม่ใช่เพราะความพยายามของเรา และเพราะพระคุณ การทรงเลือก และการทรงเรียกต่างหาก....ความคิดในสมองก็ตีกันอุตหลุดเลยทีเดียว พระเจ้าทรงเป็นคำตอบแต่ผู้เดียว อยู่ที่พระองค์จะทรงพอพระทัยหรือไม่....แต่ก็ยังเชื่อในพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ที่ว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน....หรือที่ทรงให้เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติ่มสิ่งทั้งปวงให้.....
     เรามีหน้าที่ขอ หา และเคาะ อยู่ที่พระทัยของพระเจ้าแล้ว ที่จะตอบคำอธิษฐานของเรา อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงมีแผนการที่ดีในชีวิตของเราเสมอ....หากคนพิการที่เราประกาศด้วย เข้าใจอย่างเราก็ดีซินะ...เพราะการที่เขาไม่เห็นว่าเราเองผู้เชื่อ ผู้ประกาศข่าวดียังไม่หายเลย เขาคนพิการก็คงยังไม่มีความเชื่ออย่างแน่นอน   และความคิดของพวกเขาก็ยังคิดว่า พระเจ้า พระเยซูคริสต์ของเราก็เป็นแค่ศาสดาของศาสนาคริสต์เท่านั้น....ถามว่าผมจะไม่ประกาศข่าวประเสริฐใช่ไหม หากตัวผมเองไม่หายจากความพิการ ไม่เลย....แม้เคยมีความคิดว่าประกาศข่าวประเสริฐยากจัง....ความรอดจากบาปกับความพิการแห่งร่างกายนั้นเป็นคนละเรื่องกัน....เอ เราจะทำให้คนพิการเข้าใจอย่างเราได้อย่างไร ตราบใดที่เราเองก็ยังไม่หาทางอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ และไม่เสียสละชีวิตดั้นด้นไปหาเขา และบอกเขาทุกอย่างๆที่เราเข้าใจ จริงไหม......ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรครับผม.  



          

" บนถนนของการต่อสู้ "

" บนถนนของการต่อสู้ "

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังนั่ง และสถานที่กลางแจ้ง

Way to fight บนถนนของการต่อสู้


อาจารย์ โจว์ ไฮม์ นักสู้ชีวิตแบบอย่างพระคริสต์

       พระเจ้าทรงนำผมและโจว์มาเจอกันในปี ค.ศ. 2003 ซึ่งเป็นปีที่ผมประสบอุบัติเหตุทางรถมอเตอร์ไซค์ และกลับมาอเมริกาเพื่อเยี่ยมเยียมพ่อตาแม่ยายของปลายปีนี้เอง ภรรยาผมพาไปเยี่ยมท่านโจว์ ขณะนั้นยังไม่ได้เป็นอาจารย์สอนพระคำของพระเจ้า เรานัดเจอกันที่บ้านของท่านอาทิตย์ละครั้ง ห่างจากบ้านที่ผมและครอบครัวพักอยู่ประมาณ 2 กิโลเมตร บางทีผมก็ไปเยี่ยมท่านเองโดยขี่รถสกู๊ดเตอร์ไปหา เราเริ่มต้นอธิษฐานก่อนการเสวนาเสมอ และคุยเรื่องสัพเพเหระเกี่ยวกับเรื่องของชีวิต แรกๆผมก็ไม่ได้คุยอะไรมาก เพราะไม่เก่งเรื่องของภาษา จึงได้แต่ฟังและเรียนรู้กับท่าน
                 ผมและครอบครัวไปๆกลับๆเมืองไทยและสหรัฐอเมริกาเพื่องานรับใช้พระเจ้า เพราะครอบครัวผมแต่เดิมอยู่เมืองไทย และภรรยาก็อยู่สหรัฐอเมริกา จึงเป็นเหตุให้ต้องมีการเดินทางไปๆกลับๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการกลับไปอเมริกาก็หนีไม่พ้นที่จะต้องไปเยี่ยมเยียนท่านโจว์ พี่ชายที่รักในพระคริสต์ ผมเองพยายามหนุนใจและให้กำลังใจท่านเสมอ เพราะท่านเคยบอกผมว่าไม่มีกำลังใจอยู่ในโลกใบนี้ แม้ว่าจะมีภรรยาและลูกๆคอยช่วยท่านเสมอก็ตาม เวลานั้นดูเหมือนท่านแค่อยู่เพื่อรอคอยเวลาของชีวิตจากไปอยู่กับพระเจ้า ออ ท่านเป็นคนพิการกล้ามเนื้อผิดรูปและอ่อนแรงมาแต่กำเนิด และมาแต่งงานกับแม่ม้ายลูกติด 2 คน เป็นหญิงและชาย ลูกสาวคนโตก็ติดยาเสพติด ลูกชายก็มีปัญหาทางสมองแต่ก็ยังดูแลตนเองได้บ้าง ภรรยาจึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการดูแลครอบครัว
                ท่านโจว์เคยบอกผมว่า เพราะชีวิตของผมและครอบครัว ทำให้เขาลุกขึ้นมาเรียนพระคัมภีร์ออนไลน์จนจบปริญญาตรีศาสนศาตร์ และเป็นอาจารย์สอนและให้คำปรึกษากับผู้คนมากมายบนโลกออนไลน์ และก็ยังมีโอกาสรับใช้พระเจ้าในคริสตจักรต่างๆด้วย ผมและครอบครัวขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงใช้ให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับท่านได้ เราเองก็ภูมิใจในตัวท่านอย่างมาก และดีใจที่พระเจ้าทรงใช้ท่านอย่างมากเมื่อท่านมองข้ามความพิการและความสามารถของท่านไปพึ่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า จนท่านได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าดังกล่าว
                  ปลายเดือนมีนาคม 2019 ท่านจากโลกนี้ไปอยู่กับพระเจ้าอย่างสงบสุขด้วยวัย 60 กว่าๆ ผมและครอบครัวอยู่ฮาวาย และวางแผนจะไปเยี่ยมท่านและครอบครัวในปลายปีนี้ แต่ท่านไปอยู่กับพระเจ้าเสียก่อนที่จะพบผมและครอบครัว ผมและครอบครัวก็รู้สึกอารมณ์ 2 ขั่วในเวลานั้น ขั่วแรก ก็เสียใจที่ท่านจากเราไป ชั่วที่สอง ก็ดีใจที่ท่านหมดทุกข์หมดโศกไปเสียที และภรรยาของท่านก็ไม่ต้องมาปรนนิบัติท่านอีกต่อไป อย่างไรก็ตามครอบครัวผมทุกคนก็ยังคิดถึงท่าน และจะกลับไปเยี่ยมท่านในปลายปีนี้อย่างแน่นอน แม้ว่าจะไม่ได้เจอพี่ชายคนนี้แล้วก็ตาม